พระสมเด็จวัดระฆัง หลังพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4

#พระสมเด็จวัดระฆัง หลังพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4 R4-05
    #พระสมเด็จวัดระฆังหลังพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4
     เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้ากำลังจะสวดมนต์ได้มีคนส่งรูปพระสมเด็จมาให้ดู ข้าพเจ้าเห็นด้านหลังองค์พระเป็นลายพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4 ตอนแรกข้าพเจ้าไม่ค่อยจะสนใจมากนักเพราะจะเคยเห็นพระสายวังแบบนี้มาแล้ว แต่รูปพระที่ส่งมาเป็นเนื้อพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์สวยเนื้อสวยมาก จี๊ดๆๆ กระแสพลังมาลงกลางกระหม่อมมากระตุ้นจักกระที่ 7 ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าจะรู้สึกขนลุกมากกว่าที่จะเกิดอย่างนี้ เหมือนมีเข็มมาแทงที่กลางกระหม่อม เสียวปร๊าดจะเจ็บก็ไม่เจ็บฯ เป็นกระแสพลังขององค์พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์นี้หรือไม่ ก็เลยนัดเจอกัน ขณะที่ข้าพเจ้าคุยกับคนที่นำพระมาให้ข้าพเจ้าๆก็หยิบพระองค์นี้มาแล้วอธิษฐานและส่งจิตไปให้เขาและถามเขาว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง เขาบอกว่า ตุ๊บๆที่หน้าผากครับ ซึ่งโดยปกติแล้วเวลาข้าพเจ้าทดสอบเขาๆจะรู้สึกร้อนผ่าวๆที่หน้า คล้ายๆหน้าเห่อเป็นลมพิษ ขณะที่คุยกันเขาก็จะรู้สึกตลอดเวลา เวลานี้ข้าพเจ้าจะลองใช้วิธีนี้ในการให้คนอื่นสัมผัสพลังพระเองโดยฉันหยิบพระขึ้นมาอธิษฐานและให้เขาสัมผัสเอง แทนที่เขาจะเป็นคนจับพระและอธิษฐานจากที่ข้าพเจ้าบอกก็ต้องทดสอบหลายวิธี ส่วนใหญ่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากคนที่คุยกับข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าได้ปรับมาใช้
เมื่อข้าพเจ้านำพระสมเด็จวัดระฆังกลับมาที่บ้าน ข้าพเจ้าก็นำกล้องมาส่องดูแล้วอธิษฐานถามถึงเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าสัมผัสเมื่อเช้า อาการมาทันทีไม่สามารถยั้งได้ อ๊วก ๆ ๆ โอ้โห! ตั้งแต่สัมผัสพลังพระมายังไม่เคยเจอแบบนี้เลย เป็นเพราะอะไร มีอะไรพิเศษกว่าที่คิดไว้
     ข้าพเจ้าก็อธิษฐานว่าพระสมเด็จวัดระฆังองค์นี้หลวงปู่โตร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกด้วยหรือไม่ เงียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอ๊! เป็นไปได้อย่างไร แปลกมากๆ ไม่ว่าจะจับองค์พระโดยตรงหรือดูรูปจากคอมฯ เพราะรูปจะใหญ่อาจจะชัดเจนขึ้น ก็ยังเงียบอีกไม่มีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้น ถ้าในยุคนี้ไม่ใช่หลวงปู่โตแล้วจะมีใครได้อีก ข้าพเจ้าก็นึกไปถึงกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เท่านั้นแหละกระแสพลังมาทันทีเลย ยังไม่ทันได้อธิษฐานแค่นึกกระแสพลังก็มาแล้ว หลวงพ่อเงินวัดบางคลานก็มาร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกด้วยเพราะอธิษฐานแล้วกระแสพลังก็มา คงไม่ใช่เท่านี้แน่นอน พระโพธิสัตว์หลายร้อยพระองค์ก็มาด้วย ญาณพระมหาจักพรรดิ์ก็มา อ๊วก ๆ ๆ เอาอีกแล้วคราวนี้ทำเอาน้ำตาไหลอีกด้วย พอแหละเท่านี้ อ๊วกจนแสบคอ ไม่ต้องอยากไปรู้อะไรอีก ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4 เป็นสำคัญ (ใครจะเชื่อก็ดี ไม่เชื่อก็ดี แล้วแต่วาสนาของท่าน)
     ฉันมีพระกริ่งปวเรศที่ปลุกเสกหลาย 10 พรรษา ฉันยังไม่มีอาการแบบนี้เลย มหัศจรรย์จริงๆ สาธุ สาธุ สาธุ
     พระสมเด็จวัดระฆังหลังพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4 หลวงปู่โตไม่ได้ร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก เวลานั้นหลวงปู่โตไปไหนนะ มีหลักฐานที่น่าจะเชื่อได้อยู่ด้านล่าง เชิญอ่านต่อไปครับ
     พระสมเด็จวัดระฆังชุดนี้มีการลงรักไว้ด้วยแต่รักหลุดร่อนไปหมดแล้ว พิจารณาพิมพ์ทรงคมชัดการกดพิมพ์มีความพิถีพิถันมากองค์พระและพระราชลัญจกรติดคมชัดสวยงามเป็นพระสมเด็จที่สวยสมบูรณ์มาก ซุ้มระฆังหรือซุ้มครอบแก้วใหญ่แบบหวายผ่าซีกหน้าอกหนาใหญ่แบบอกกระบอกเนื้อพระด้านหน้าแตกลายมหาสมบัติ การแตกลายสลับซับซ้อนมองแล้วมีเสน่ห์มากกว่าเนื้อเรียบๆมีหนอนด้นปู่ไต่อาจจะมีปริแยกบ้าง แต่พระสมเด็จวัดระฆังองค์นี้งามจริงๆ  ฝีมือช่างหลวงฯ
    พระสมเด็จวัดระฆังชุดนี้หลวงปู่โตไม่ได้ร่วมอธิษฐานปลุกเสกแล้วหลวงปู่โตไปที่ไหน ในบทความที่ผ่านมาบางท่านคงอ่านไปบ้างแล้วแต่จำไม่ได้ก็ขอนำมาบอกใหม่
     ตั้งแต่หลวงปู่โตท่านรับสมณศักดิ์เป็นที่พระธรรมกิตติ จนกระทั่งเป็นพระเทพกวี ได้มีความผิดครั้งหนึ่ง เมื่อเทศน์ถึงตั้งกรุงกบิลพัสดุ์ และตั้งวงศ์สักยราช ในพระปฐมโพธิ ปริจเฉทที่ ๑ นั้น แต่ในสมัยใช่กาลจะเทศน์พระปฐมโพธิปริจเฉทที่ ๑ ไม่ใช่กลางเดือน ๖ ท่านก็นำไปเทศน์ถวายว่า เมื่อตั้งกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว จึงนำบุตรกษัตริย์ในวงศ์เดียวกันมาเสก แต่กษัตริย์องค์แรกได้นำพระขนิษฐานารีมาอภิเษก ตามลัทธิคติของพวกพราหมณ์ที่พากันนิยมว่าแต่งงานกันเองไม่เสียวงศ์ จนเป็นโลกยบัญญัติสืบมาช้านาน จนถึงกษัตริย์โอกากะวงศ์รัชกาลที่ ๑ รวมพี่น้อง ๗ องค์ เจ้าชาย ๓ เจ้าหญิง ๓ ออกจากเมืองพระราชบิดามาตั้งเป็นราชธานี ขนานนามว่ากรุงกบิลพัสดุ์ ตามบัญญัติของกบิลฤๅษี ต่อนี้ไปก็แต่งงานราชาภิเษก พี่เอาน้อง น้องเอาพี่ เอากันเรื่อยไม่ว่ากัน เห็นตามพราหมณ์เขาถือมั่นว่าอะสมภินนะวงศ์ ไม่แตกพี่แตกน้อง แน่นแฟ้นดี บริสุทธิ์ไม่เจือไพร่ คราวนี้เลียนอย่างมาถึงประเทศใกล้เคียงมัชฌิมประเทศก็พลอยเอาอย่างกันสืบๆ มา จนถึงสยามประเทศก็เอาอย่าง เอาพี่เอาน้องขึ้นราชาภิเษกและสมรสกันเป็นธรรมเนียมมา
     สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ไม่พอพระราชหฤทัย ไล่ลงธรรมาสน์ไป ไป ไป ไปให้พ้นพระราชอาณาจักร ไม่ให้อยู่ในดินแดนของฟ้า ไปให้พ้น พระเทพกวีออกจากวัง เข้าไปนอนในโบสถ์วัดระฆังออกไม่ได้นาน ใช้บิณฑบาตบนโบสถ์ ลงดินไม่ได้ เกรงผิดพระบรมราชโองการ ครั้นถึงคราวถวายพระกฐิน เสด็จมาพบเข้ารับสั่งว่า อ้าวไล่แล้วไม่ให้อยู่ในราชอาณาจักรสยาม ทำไมยังขืนอยู่อีกล่ะ ขอถวายพระพร อาตมาภาพไม่ได้อยู่ในพระราชอาณาจักร อาตมาภาพอาศัยอยู่ในพุทธจักร ตั้งแต่วันที่มีพระราชโองการ อาตมาภาพไม่ได้ลงดินของมหาบพิตรเลย ก็กินข้าวที่ไหน ไปถานที่ไหน ขอถวายพระพร บิณฑบาตบนโบสถ์นี้ฉัน ถานในกระโถน เทวดาคนนำไปลอยน้ำ
รับสั่งว่า โบสถ์นี้ไม่ใช่อาณาจักรสยามหรือ ถวายพระพรว่า โบสถ์เป็นวิสุงคาม เป็นส่วนหนึ่งจากพระราชอาณาจักร กษัตริย์ไม่มีอำนาจขับไล่ได้ ขอถวายพระพร
ลงท้าย ขอโทษฯ แล้ว ทรงถวายกฐิน
ครั้นเสร็จการกฐินแล้ว รับสั่งว่า อยู่ในพระราชอาณาจักรสยามได้ แต่วันนี้เป็นต้นไป
    ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดปรานพระมหาโตเป็นอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 2395 พระองค์จึงได้พระราชทานสมณศักดิ์พระมหาโตเป็นครั้งแรก เป็นพระราชาคณะที่ "พระธรรมกิติ" และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ขณะนั้นท่านอายุ 65 ปี โดยปกติแล้วพระมหาโตมักพยายามหลีกเลี่ยงการรับพระราชทานสมณศักดิ์ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ท่านต้องยอมรับพระราชทานสมณศักดิ์ในที่สุด อีก 2 ปีต่อมา (พ.ศ. 2397) ท่านจึงได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ที่ "พระเทพกระวี" หลังจากนั้นอีก 10 ปี (พ.ศ. 2407) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นสมเด็จพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระพุฒาจารย์"
     มีหลายครั้งหลายคราที่หลวงปู่โตมักหายจากวัดไปบ่อย จนพระเจ้าอยู่หัวต้องให้คนไปตามหา ช่วงวเลาที่หลวงปู่โตหายไปนั้นไม่มีระบุเวลาแน่นอนว่าท่านหายไปในเวลาไหนบ้าง หลวงปู่โตธุดงค์ไปหลายที่แม้แต่เมืองบังบดนครลับแลหลวงปู่โตก็ไปหลายครั้งไปแสดงธรรมให้ชาวบังบดฟัง ชาวบังบดยังถวายสิ่งมงคลต่างๆเพื่อให้หลวงปู่โตนำมาผสมลงในพระสมเด็จของหลวงปู่โตเพื่อการสืบทอดพระศาสนาต่อไปฯ
    หลวงปูโตเป็นที่พระธรรมกิตติเริ่มปี พ.ศ.2407 และในปี พ.ศ.2408 ช่างหลวงนามว่าหลวงวิจารเจียรนัยเข้มาช่วยหลวงปู่โตออกแบบพิมพ์สร้างพระ(หลวงวิจารย์ฯมีจริงหรือไม่จริง หลายฝ่ายถกเถียงกันยังไม่แล้วเสร็จ)
     พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์นี้พิจารณาจากพุทธศิลปพิมพ์ทรงแล้วเป็นฝีมือช่างหลวงแน่นอนและมีการลงรักไว้ด้วยแต่รักหลุดร่อนหมดไปแล้ว แต่มีเศษรักติดอยู่ที่พระสมเด็จบางองค์อันเป็นพยานวัตถุอย่างดี
     พระสมเด็จวัดระฆังหลังพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4 สร้างไว้หลายวาระการอธิษฐานจิตปลุกเสกต่างกัน พลังพุทธานุภาพอาจแตกต่างกันได้นะครับ
ท่านใดได้ครอบครองพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์นี้ รู้และเข้าใจในการอธิษฐาน คนนั้นไม่ธรรดาจริงๆ

    เมื่อวานก่อน(ในเพจ facebook)ได้มีคนที่มีพระสมเด็จวัดระฆังหลังพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4 มาสอบถาม ข้าพเจ้าก็ให้เขาเพ่งที่พระของข้าพเจ้าแล้วอธิษฐาน พลังผ่านที่มือแแล้วมาหนึบๆที่หน้าผาก ส่วนพระของเขาๆได้จับองค์พระอธิษฐานเหมือนมีพลังแผ่ออกมาจากองค์พระที่ใส่กรอบวูบวาบวูบวาบที่มือ เหมือนพลังงานขยายเข้าขยายออก
ตามที่บอกไปแล้วว่าสร้างวาระต่างกันพลังอาจแตกต่างกันได้
พระสมเด็จวัดระฆังหลังพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4 ที่โพสนี้พลังไม่ธรรมดาจริง โดยมีพลังของพระจักรพรรดิ์ด้วย
    
ท่านใดได้ครอบครองพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์นี้ รู้และเข้าใจในการอธิษฐาน คนนั้นไม่ธรรดาจริงๆ พระสมเด็จวัดระฆังหลังพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4 ชุดนี้พิมพ์ทรงคมชัดเนื้อพระสวยงามจะแตกต่างจาก วาระอื่น พิจารณาให้ดีด้วยครับ
ข้างล่างลิงก์ facebook ข้าพเจ้า

#พระสมเด็จวัดระฆัง หลังพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4 R4-01 ด้านขวาองค์พระมีเศษรักเก่าติดอยู่

#พระสมเด็จวัดระฆัง หลังพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4 R4-06 คราบน้ำปูนเป็นฝ้าขาวด้านหน้าองค์พระ
#พระสมเด็จวัดระฆัง หลังพระราชลัญจกรรัชกาลที่ 4 R4-07 ซอกแขนซ้ายองค์พระและ ฐานชั้นที่ 2 ฐานสิงห์ ด้านขวาองค์พระเศษรักเก่ายังมีให้เห็น การแตกลายที่เป็นธรรมชาติ

ความคิดเห็น