พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์เชียงแสน # 03 |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์เชียงแสนพิมพ์ทรงต่อเนื่องมาจากพระสมเด็จพิมพ์เทวดา จะแตกต่างกันก็ส่วนบนขององค์พระคือพระกรรณ 2 ข้างสั้นข้างยาวข้าง เกศตุ่มหรือเกศปลีทะลุซุ้ม
ครั้งเมื่อนางสุชาดาเข้าใจว่าพระบรมโพธิสัตว์ที่นั่งพักผ่อนอยู่ใต้โคนต้นไทรคือเทพยดาที่คอยมารับเครื่องบวงสรวง นางจึงได้ถวายข้าวมธุปายาสพร้อมถาดทองคำ พระโพธิสัตว์ทรงรับและเสวยข้าวมธุปายาสเสร็จแล้วเสด็จไปริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จลงสรงน้ำเสร็จแล้วขึ้นมาบนฝั่ง พระโพธิสัตว์ได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่าถ้าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดทองคำใบนี้ลอยทวนน้ำไปไกล 80 ศอกอธิษฐานเสร็จแล้วนำถาดทองคำลอยบนแม่น้ำปรากฎว่าถาดทองคำได้ลอยทวนน้ำไป 80 ศอกและจมลงไปถึงพิภพกาฬนาคราช กระทบกับถาดทองคำอีก 3ใบที่พระพุทธเจ้าในอดีต 3 พระองค์ได้เคยตั้งสัตยาธิษฐานไว้คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคมน์ พระกัสสปะ
กาฬนาคราชได้หลับมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าในอดีตแล้วและจะตื่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงถาดว่าจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่จะมาบังเกิดแล้ว
พระมหาโพธิสัตว์ก็ประทับนั่งบนหญ้าคาใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งโสตถิพราหมณ์ได้นำหญ้าคา 8 กำมาถวายพระโพธิสัตว์ในเวลานั้นพอดี พระโพธิสัตว์ได้อธิษฐานว่า ถ้าเลือดเนื้อในกายจะแห้งเหือด เหลือแต่หนัง เอ็นและกระดูกก็ตามทีถ้าเรายังไม่สำเร็จบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเราจักไม่ลุกออกไปไหน ในวันนั้นเองพระมหาโพธิสัตว์ก็บรรลุสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6
โบราณจารย์จึงคิดออกแบบแม่พิมพ์ขึ้นมาอีกพิมพ์หนึ่งต่อจากพิมพ์เทวดาคือพิมพ์เชียงแสนหรือพระเจ้าเจ้าเก้าตื้อ รวยล้นฟ้า ถ้าจะสร้างพระบูชาเป็นพิมพ์นี้คงหาความสวยงามได้ยาก เนื่องจากพระกรรณไม่เท่ากันไม่สมกับมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ จึงออกแบบพระสมเด็จพิมพ์เชียงแสนขึ้นมาโดยมีปริศนาธรรมแฝงเอาไว้ ทำไมพระกรรณทั้ง 2 ข้างจึงไม่ทันกันผิดธรรมชาติความจริง พระกรรณด้านซ้ายมือองค์พระแบบบายศรีเหมือนพิมพ์เทวดาปลายยาวจรดบ่า พระกรรณด้านขวาองค์พระสั้นและถ้าสังเกตุให้ดีเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งในความหมายเป็นวัฎจักรของโลกที่มีทั้งกลางวันและกลางคืนหรือการเกิดดับ พระกรรณยาวจรดบ่าหมายถึงแสงพระอาทิตย์กลางวัน พระกรรณเสี้ยวหมายถึงกลางคืน เกศปลีหรือเกศตุ่ม สรรพวิชาทั้งหลายในโลกเรียนไม่รู้จบ ยิ่งในเวลานี้วิชาการความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เทคโนโลยีพัฒนาไม่สิ้นสุด เกศตุ่มก็คือความรู้ทั้งหลายในโลกเรียนเท่าไหร่ก็ไม่จบ ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด คือไม่รอดจากการเวียนว่ายตายเกิด วนเวียนอยู่ในวัฎสงสารหาที่สุดของภพชาติไม่ได้ (พระพุทธเจ้าตรัสกับนางปฎาจาราว่า " แม่น้ำทั้งมหาสมุทรทั้ง 4 ก็ยังน้อยกว่าน้ำตาของคนที่ถูกความทุกข์ ความเศร้าโศกครอบงำ ปฎาจาราเพราะเหตุไร เธอจึงประมาทอยู่ ") แต่ความรู้ของพระพุทธองค์มีเรียนจบ พระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ทำให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ไม่ต้องวนเวียนในวัฏสงสารอีกต่อไป พระอรหันต์สาวกหลายองค์ก็ไม่ได้รู้หมดทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ก็หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้เช่นกัน ฯลฯ เมื่อพระโพธิสัตว์รู้แจ้งความจริงของสารวัฏทั้งหลายแล้วสำเร็จพระสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว หมื่นโลกธาตุก็เกิดหวั่นไหวขึ้นมา เทพยดาฟ้าดินร่วมยินดีกับพระองค์ ฯ พระสมเด็จเกศตุ่มทะลุซุ้มออกมา คือพ้นจากโลกไม่อยู่ในกฏเกณฑ์ของโลกอีกต่อไป ซุ้มระฆังหรือซุ้มครอบแก้วเป็นเสมือนโลกที่คลุมเราอยู่ ทำให้เรายังหลุดพ้นไม่ได้เมื่อทะลุโลกออกมาได้ก็สำเร็จ
"หมดทั้งโลกย่อมเป็นธาตุทั้งสิ้น นิมิตจะปรากฏขึ้นพร้อมกันว่าโลกนี้ราบเหมือนหน้ากอง เพราะมีสภาพเป็นอันเดียวกัน ไม่ว่าป่า ภูเขา มนุษย์ สัตว์ แม้ที่สุดตัวเราก็ต้องล้มราบเป็นที่สุดอย่างเดียว พร้อมกับญาณสัมปยุต คือรู้ขึ้นมาพร้อมกันในที่นี้ ตัดความสนเท่ห์ในใจได้เลย "
"รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปปรุงแต่งสำคัญมั่นหมายทุกภพทุกชาติ เป็นอเนกชาติสุดจะประมาณได้จนถึงปัจจุบัน จึงทำให้จิตหลงอยู่ ตามความจริงแล้ว เขาหากเกิดมีเกิดเป็นอยู่อย่างนั้นแล้วไม่ต้องสงสัย จึงรู้ว่า ปุพฺเพสฺุ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ ธรรมดาเหล่านี้หากมีแต่ก่อน ฯลฯ
พระอรหันต์สาวกท่านก็มีนิมิตคือโลกแตกเป็นเสี่ยงๆไม่เหลืออะไร หมายความว่าไม่ต้องมาเกิดในโลกอีกแล้วหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีโลกจะมาให้เกิดอีกต่อไป ส่วนพระอนาคามีท่านมีนิมิตว่า ร่างกายแตกเป็นเสี่ยงๆไม่มีร่างที่จะให้มาอาศัยอีกต่อไป เพราะเมื่อพระอนาคามีละสังขารแล้วจะไปเกิดยังพรหมโลกและสำเร็จอรหันต์บนนั้น ไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ฯลฯ
บางตำราพิมพ์เชียงแสนจะเหมือนพิมพ์ทั่วไปจะต่างกันที่ฐานทั้ง 3 ชั้นจะหนาใหญ่โดยเฉพาะฐานชั้นบนสุดและพระชานุ(เข่า)ทั้ง 2 ขององค์จะหนาใหญ่กว่าปกติ
พระกรรณแบบจันทร์เสี้ยว หมายถึงกลางคืน |
พระกรรณบายศรียาวจรดบ่าหมายถึงแสงอาทิตย์ กลางวัน |
สนใจบูชาติดต่อ โทร 092 339 5410
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น