พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน SK 02 |
พระสมเด็จวัดระฆังที่ดูคล้ายเนื้อหินอ่อนมีมวลสารหลักคือหอยเบี้ย ในสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา กรุงธนบุรี จนถึงต้นรัตนโกสินทร์ ได้มีการนำหอยเบี้ยมาใช้แลกเปลี่ยนสินค้า กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 3 พระองค์ทรงเห็นว่า หอยเบี้ยเป็นสัตว์ วิธีการได้มานั้นเป็นการทำบาป จึงรับสั่งให้พระยาคลังสั่งทำแบบเหรียญโลหะตัวอย่างจากประเทศอังกฤษเพื่อนำมาใช้แทนหอยเบี้ย เรียกว่า “เหรียญเมืองไท” มี 2 แบบ คือ หน้าเหรียญเป็นรูปดอกบัวและรูปช้าง แต่ทรงไม่โปรดจึงไม่ได้สั่งผลิตออกมาใช้ และทรงรับสั่งให้ผลิตขึ้นใหม่ แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน
จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการทำสนธิสัญญาการค้ากับต่างประเทศและมีความต้องการใช้เงินจำนวนมาก เงินพดด้วงมีจำนวนไม่เพียงพอ รวมทั้งมีการปลอมขึ้นมามาก หอยเบี้ยจึงกลายเป็นเงินปลีกย่อยที่มีราคาน้อยสุดหรือแทบไม่มีราคาเลย ประกอบกับในขณะนั้นได้รับเครื่องจักรผลิตเหรียญโลหะมาจากประเทศอังกฤษและเริ่มมีการผลิตเหรียญ การใช้หอยเบี้ยจึงค่อยๆ ลดลงไปจากสังคม และหายไปจากระบบเงินตรานับแต่นั้นเป็นต้นมา
เปลือกหอยแต่ละชนิดมีคุณวิเศษทางด้านยา ในตำราแพทย์แผนไทยมีการนำเปลือกหอยมาใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงยา โดยกล่าวถึง "พิกัดเนาวหอย" คือ การจำกัดจำนวนหอย ๙ อย่าง ได้แก่ หอยขม หอยนางรม หอยจุ๊บแจง หอยสังข์ หอยแครง หอยกาบ หอยมุก หอยตาวัว หอยพิมพการัง ซึ่งมีสรรพคุณขับลมในลำไส้ ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว บำรุงกระดูก แก้โรคกระษัย ไตพิการ กัดเมือกมันในลำไส้ ส่วนการนำมาใช้ปรุงยา มีทั้งขนานยาที่ใช้เปลือกหอยทั้ง ๙ อย่าง หรือใช้เพียงบางอย่าง เช่น ตำรับยาชื่อว่า "เนาวหอย" จะใช้เปลือกหอยทั้ง ๙ อย่างเป็นส่วนผสม บางอย่างใช้เปลือกหอยสังข์หนามเพียงอย่างเดียวเป็นส่วนผสม เช่น ยาสังขสมุทัย นอกจากนี้ในตำรับยาหลายขนานยังใช้เปลือกหอยเบี้ย ได้แก่ เบี้ยผู้ เบี้ยจั่น เบี้ยแก้ มาใช้ในการปรุงยาด้วย
นอกจากนี้แล้วยังมีความเชื่อเกี่ยวกับหอยเบี้ยมากมาย โดยเฉพาะความเชื่อของคนโบราณ ซึ่งมีความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับหอยเบี้ยที่ค่อนข้างแตกต่างกันไปอย่างมากมาย
ในบรรดาวัตถุมงคลต่างๆ มีเครื่องรางของขลังอยู่ชนิดหนึ่งที่สร้างมาเพื่อแก้คุณไสย์โดยเฉพาะ สำหรับคนที่ไม่รู้จักเบี้ยแก้ ก็ทำความรู้จักไว้เสียก่อน เบี้ยแก้ทำมาจากหอยเบี้ยโดยหอยเบี้ยถือเป็นเงินตราในสมัยโบราณ ซึ่งก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับหอยเบี้ยในโบราณทั้ง 8 ชนิดกันก่อน 1. เบี้ยโพล้ง 2. เบี้ยแก้ 3. เบี้ยจั่น 4. เบี้ยนาง 5. เบี้ยหมู 6. เบี้ยพองลม 7. เบี้ยบัว 8. เบี้ยตุ้ม
เปลือกหอยของหอยเบี้ยชนิดนี้ มีความสำคัญต่อมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ โดยใช้เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนสิ่งของแทนเงินตราในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าคำว่า "เบี้ย" ในภาษาไทยก็เรียกเพี้ยนมาจากคำว่า "รูปี" ซึ่งเป็นหน่วยเงินตราของอินเดียมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
นอกจากนี้แล้ว เปลือกหอยเบี้ยจักจั่นยังใช้เป็นเครื่องรางของขลังในวัฒนธรรมไทย โดยมักนำไปบรรจุปรอทแล้วปิดทับด้วยชันโรงใต้ดิน อาจจะมีแผ่นทองแดงลงอักขระยันต์หรือไม่ก็ได้ เชื่อกันว่า ถ้าพกเปลือกหอยเบี้ยชนิดนี้ไว้กับตัวเวลาเดินทางสัญจรในป่า จะช่วยป้องกันไข้ป่า รวมถึงป้องกันและแก้ไขอันตรายจากร้ายให้กลายเป็นดีได้ และสุดท้ายความเชื่อที่ว่าคนโบราณนิยมผูกตัวเบี้ยไว้ที่ข้อมือเด็ก ด้วยเชื่อว่าเบี้ยจะสามารถป้องกันภูตผีปีศาจได้นั่นเอง หรือนำไปตกแต่งพลอยเรียกว่า "ภควจั่น" ในเด็ก ๆ เชื่อว่าช่วยป้องกันฟันผุ หรือพกใส่กระเป๋าสตางค์ เชื่อว่าทำให้เงินทองไหลเทมาและโชคดี “ภควจั่น” นี้แยกออกเป็นสองคำคือ ภคว เป็นคำย่อของ ภควดี อันเป็นสมญานามของ พระลักษมี และจั่น เป็นคำสามัญหมายถึง เบี้ยจั่น อันเป็นเครื่องหมายของพระลักษมี ซึ่งเป็นเครื่องรางในสมัยอยุธยาที่นำเอาเบี้ยจั่นมาหุ้มด้วยทองแล้วประดับพลอย
หอยเบี้ยจักจั่น หรือ หอยเบี้ยจั่น (อังกฤษ: Money cowry) เป็นหอยทะเลฝาเดียวชนิด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Monetaria moneta เป็นภาษาลาตินแปลว่า "เงินตรา" ปัจจุบัน เปลือกหอยเบี้ยจักจั่นยังนิยมสะสมกันเป็นของประดับและของสะสมกันอีกด้วย โดยมีชนิดที่แปลกแตกต่างไปจากปกติ คือ "ไนเจอร์" (Niger) ที่หอยจะสร้างเมลานินสีดำเคลือบเปลือกไว้จนกลายเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลคล้ำทั้งหมด และชนิดที่มีราคาสูงที่สุด เรียกว่า "โรสเตรท" (Rostrat) หรือ หอยเบี้ยจักจั่นงวง คือ เป็นหอยเบี้ยจักจั่นในตัวที่ส่วนท้ายของเปลือกมิได้กลมมนเหมือนเช่นปกติ แต่สร้างแคลเซี่ยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาหลายปี จนกระทั่งยาวยืดออกมาและม้วนขึ้นเป็นวงอย่างสวยงามเหมือนงวงช้าง ซึ่งหอยในรูปแบบนี้จะพบได้เฉพาะแถบอ่าวด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะนิวแคลิโดเนียที่เดียวในโลกเท่านั้น มีการประเมินราคาของเปลือกหอยลักษณะนี้ไว้ถึง 25 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นราคาของเปลือกหอยที่มีค่าสูงที่สุดในโลกอีกด้วย
ด้วยเหตุที่หอยเบี้ยถูกเลิกใช้แทนเงินตราแล้ว ด้วยคุณสมบัติทางยาความเชื่อเรื่องเครื่องลางของขลัง มีเบี้ยติดตัวมีกินมีใช้ไม่อด เงินไหลมา เพื่อไม่ให้เบี้ยทั้งหมดถูกทิ้งไปอย่างไร้ค่า หลวงปู่โตจึงน้ำหอยเบี้ยมาบดผสมมวลสารศักดิ์สิทธิ์สร้างเป็นพระสมเด็จรุ่นนี้ขึ้นมา เมื่อนำพระสมเด็จวัดระฆังชุดนี้มากระทบกันเสียงจะดังใสกว่าเนื้อพระสมเด็จเนื้ออื่น ผิวมันวาวแบบเดียวกับหอยเบี้ย
สนใจบูชาโทร 092 339 5410
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน SK 04 |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน SK 06 |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน คราบสนิมกระป๋องเป็นธรรมชาติ |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน SK 07 |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน SK 09 |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน คราบสนิมกระป๋อง |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน SK 12 |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน แตกลายสังคโลก |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน SK 13 |
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่# ยุคต้นเนื้อหินอ่อน |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น