พระสมเด็จปู่ใหญ่หลังนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู PG-01 |
การแก้ปีชงที่ดีที่สุดทำได้ทุกราศีคือ ทำดี พูดดี คิดดี โดยละเว้นจากอกุศลกรรมทั้ง 10 ข้อ
กุศลกรรม 10 อย่าง ที่ตรงข้ามกับอกุศลกรรม
กายกรรม 3
1.เว้นจากการฆ่า ทรมาน กักขัง สัตว์
2.เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ โดยการขโมย
3.เว้นจากการประพฤติผิดในกาม (มี 20 ข้อ โดยพิศดาร)
วจีกรรม 4
1.เว้นจากการพูดเท็จ
2.เว้นจากการพูดส่อเสียด
3.เว้นจากการพูดคำหยาบ
4.เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ (ทำได้ยากยิ่ง แม้พระโสดาบันยังทำอยู่ แต่ไม่เป็นไปในทางศาสนา เช่น พูดว่าถ้าฉันถูกรางวัลที่ 1 ฉันจะทำนั่นทำนี่ ถ้าฉันเป็นายกรัฐมนตรีฉันจะทำอย่างนี้...)
มโนกรรม 3
1.ไม่โลภอยากได้ของผู่อื่น
2.ไม่คิดอาฆาตพยาบาทผู้อื่น
3.เห็นชอบตามครองธรรม (สัมมาทิฐิ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ฯลฯ)
กรรมเกิดจากเหตุ ปัจจุบันที่ท่านรับกรรมอยู่นั้นเกิดจากการกระทำทั้งในอดีตและปัจจุบัน กรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนมันจะส่งผลเมื่อไหร่อยู่ที่ความหนักเบาของกรรม กรรมบางอย่างส่งผลทันทีกรรมบางอย่างส่งผลข้ามภพข้ามชาติ ไม่ต้องส่งสัยในเรื่องของกรรมไม่ต้องไปอยากรู้ว่าชาติที่แล้วเราทำกรรมอะไรไว้บ้างมันไม่มีประโยชน์คิดมากไปจะเป็นบ้า ให้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเป็นดี ทำอย่างนี้ได้ก็สบายใจ ไม่มีใครใหญ่เกินกรรมหรือไปแก้กรรมในอดีตได้ สร้างสมบุญบารมีเพื่อให้กรรมบางอย่างตามไม่ทัน กรรมบางอย่างเป็นอโหสิกรรม ท่านจะไปขอโชคขอลาภจากเทพองค์ไหนท่านก็ต้องมีบุญอยู่แล้ว ถ้าท่านไม่เคยทำบุญอะไรมาท่านก็จะไม่ได้
โอวาทหลวงปู่โต
"ลูกเอ๋ย... ก่อนที่จะเที่ยวไปขอบารมีจากหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตนเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีของคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมเขามาจนล้นตัว เมื่อทำบุญกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะไม่มีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้แล้วฟ้าดินจะช่วยเจ้าเอง
จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้
ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน
เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."
ท่านจงสร้างบุญและบารมีไว้ให้มากๆ เมื่อถึงเวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยท่านเอง เทพทั้งหลายที่จะช่วยท่านได้นั้นท่านก็ต้องมีบุญที่เคยทำไว้มากพอที่เทพจะช่วยท่านได้
ท่านมีเงินฝากไว้ที่ธนาคารแห่งหนึ่งเป็นเงิน 10,000 บาทแต่ท่านจะไปถอนเงิน 1,000,000 บาท ไม่มีธนาคารที่ไหนจะให้ท่านได้ ถ้าท่านไม่มีเงินฝากไว้ที่ธนาคารใดเลยท่านก็ไม่สามารถไปถอนเงินมาได้แม้แต่บาทเดียว เช่นเดียวกับทีท่านไม่ทำบุญจะมีบุญที่ไหนช่วยท่านได้
ท่านมีเงินฝากไว้ที่ธนาคารแห่งหนึ่งเป็นเงิน 10,000 บาทแต่ท่านจะไปถอนเงิน 1,000,000 บาท ไม่มีธนาคารที่ไหนจะให้ท่านได้ ถ้าท่านไม่มีเงินฝากไว้ที่ธนาคารใดเลยท่านก็ไม่สามารถไปถอนเงินมาได้แม้แต่บาทเดียว เช่นเดียวกับทีท่านไม่ทำบุญจะมีบุญที่ไหนช่วยท่านได้
และเมื่อท่านรักษาศีลให้มั่นคงเทวดาก็จะรักษาท่านอีก เทวดาจะคุ้มครองผู้รักษาศีลเพราะศีลมีกลิ่นหอมทวนลม โดยปกติมนุษย์จะมีกลิ่นเหม็นจากการทุศีลเทวดาจะไม่เข้าใกล้ แต่คนที่รักษาศีลจะมีกลิ่นหอมกว่ากลิ่นหอมใดๆเทวดารับรู้
เมื่อถึงเวลาเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยท่านเอง นารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหูเป็นเทพที่ศักดิ์สิทธิ์ที่นำมาไว้ด้านหลังองค์พระ ด้านพลังพุทธานุภาพและพลังเทพสูงมากหาพระแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
มวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญเมื่อล้างองค์พระแล้วเนื้อพระเป็นสีเทาดำเกิดจากรังเหล็กไหล เพชรดำ เหล็กไหลและมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมาย รังเหล็กไหลเมื่อผู้ทรงอภิญญาสมบัตินำมาอธิษฐานจิตปลุกจะเพิ่มพลังอีกมากมาย พระสมเด็จปู่ใหญ่องค์นี้มีครบถ้วนทุกอย่าง นารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหูนี้มีหลายเกจิอาจารย์สร้างไว้แต่ไม่มีของท่านใดเกินองค์นี้ไปได้ เพราะพระผู้สร้างเป็นพระอรหันต์ที่ทรงอภิญญาสมาบัติมีอิทธิฤทธิ์อันมหัศจรรย์เป็นพระอรหันต์ที่เหนือโลกมีอายุพันกว่าปีและจะยังมีอายุอยู่ต่อไปจนครบศาสนาของพุทธโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ผู้ใดได้พบเห็นและบูชาถือเป็นวาสนาบารมีอย่างยิ่ง
การจับพลังหรือการอธิษฐานจิตสัมผัสกับกระแสญาณขององค์พระได้นั้นจะรู้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้มีจริง
การจับพลังหรือการอธิษฐานจิตสัมผัสกับกระแสญาณขององค์พระได้นั้นจะรู้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้มีจริง
พระสมเด็จปู่ใหญ่หลังนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู ล้างให้เห็นเนื้อในสีเทาดำรังเหล็กไหลและมวลสารศักดิ์สิทธิ์หลายอย่าง |
พระสมเด็จปู่ใหญ่หลังนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู PG-02 |
พระสมเด็จปู่ใหญ่หลังนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู PG-03 |
พระราหู อสุรินทราหู พระยาอสุรินทราหู
(พระนารทะ)
กาลกัญชกาอสุรกาย มี 2 ประเภท
ประเภทที่ 1 ไม่มีความสุขเลย ลำบาก
ยากแค้นมากกว่าอสูรพวกอื่น
ประเภทที่ 2 มีรูปร่างต่างกัน
มีเมืองที่มีพระยาอสูรปกครองอยู่ มีช้าง ม้า ข้าทาสบริวาร
กว้างหมื่นโยชน์มีประด้วยแผ่นทองคำงามเรืองรอง มีเมืองอสูรอยู่ 4
เมืองแต่ละเมืองมีพระยาอสูรปกครองเมืองละ 2 ตน มีปราสาทราชมนเทียรประกอบด้วยทองและแก้ว
๗ ประการ มีกำแพงทองประดับแก้วมีค่า มีปราการประตูเมือง ๑,๐๐๐ ประตู ประกอบและประดับแก้วมีค่า มีคูล้อมรอบ ลึกเท่าความสูงของ ต้นตาล
กลางเมืองมีสระทอง มีดอกบัวเบญจพรรณงามเรืองดั่งทองประดับแก้ว ๗ ประการ
พระยาอสูรลงเล่นในสระดังเปรียบเหมือนนันทนโบกขรณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
นอกจากนั้นมีเมืองเล็กๆ และหมู่บ้านใหญ่น้อยล้อมรอบ
มีมหาสมุทรกลางเมืองทำให้เมืองชุ่มชื้น
กลางอสูรพิภพมีต้นไม้ต้นหนึ่งมีมาตั้งแต่แรกเกิดโลกขึ้น
ต้นไม้นั้นใหญ่เท่าต้นปาริชาตในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
อสูรเหล่านั้นมีความเป็นอยู่ดีมาก มีปราสาทราชมนเทียรประดับด้วยเงินทองและแก้ว ๗ ประการ
รุ่งเรืองงามยิ่งนัก แต่ ยังน้อยกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นิดหนึ่ง
เมืองทางทิศเหนือ มีพระยาอสูร ๒ ตน คือ
พรหมทัตและราหู เป็นพระยาของอสูรทั้งหลายใน อุตตรกุรุทวีป (อีก 3
ทิศที่เหลือไปหาอ่านเองได้ครับ) พระยาอสูรราหูนั้นมีอำนาจและกำลังมาก
กล้าหาญกว่าพระยาอสูร ทั้งหลาย กายใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ สูง ๔,๘๐๐ โยชน์ วันเดือนเพ็ญพระจันทร์งาม และวันเดือนดับพระอาทิตย์งาม ราหู
เห็นพระอาทิตย์และพระจันทร์งามเช่นนั้นก็มีใจริษยา
จึงขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดเขายุคันธร
คอยพระอาทิตย์ซึ่งอยู่ในปราสาทในเกวียนทองซึ่งเป็นพาหนะประดับ
ด้วยแก้วอินทนิลมีรัศมีพันหนึ่งงามมาก
มีม้าสินธพพันหนึ่งลากเกวียนทองนั้นลอยไปในอากาศ
เลียบรอบเขาพระสุเมรุไปในระดับเสมอยอดเขายุคันธร
พระจันทร์อยู่ในปราสาทในเกวียนแก้วมณี มีม้าสินธพ ๕๐๐ ตัว
ลากไปในอากาศในระดับตํ่ากว่าแนวพระอาทิตย์โยชน์หนึ่ง เลียบรอบเขาพระสุเมรุ
ดาษดาไปด้วยดาวทั้งหลาย ครั้นลอยไปถึงที่ราหูคอยอยู่
บางครั้งราหูจะอ้าปากอมพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ บางครั้งจะเอานิ้วมือบังไว้
บางครั้งเอาไว้ใต้คาง บางครั้งเอาไว้ใต้รักแร้ เมื่อราหูกระทำอย่างนั้น
รัศมีพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดี จะหมองไม่งดงาม และคนทั้งหลายจะกล่าวว่าเกิดสุริยคราสและจันทรคราส จะกล่าวถึงพระพุทธศากยมุนีโคดมของเราทั้งหลาย
เมื่อพระองค์ยัง ทรงพระชนม์อยู่ในโลกนี้ ยังไม่เสด็จเข้าสู่นิพพาน ครั้งหนึ่ง
พระองค์ประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหารอันเป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีในเมืองสาวัตถี
ครั้นถึงวันเพ็ญวันหนึ่งเกิดจันทรคราส
พระจันทร์เทพบุตรก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้าจึงนมัสการพระพุทธเจ้า และกล่าวว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยความเพียร
ข้าขอถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาคพระองค์พ้นจากกิเลสทั้งปวง
บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้รับอันตรายเดือดร้อนทรมานนักหนา ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแก่ข้าๆ
และโปรดช่วยปลงทุกข์ให้แก่ข้าฯ ด้วยเกิด ในกาลนั้น
พระสัพพัญญูเจ้าผู้รู้แจ้งสรรพสิ่งในโลกทรงทราบเรื่องดังนั้น
ก็มีใจกรุณาแก่พระจันทร์เทพบุตร จึงตรัสแก่อสูรราหูด้วยพระคาถาดังนี้
ตถาคตํ อรหนฺตํ จนฺทิมา สรณํ คโต
ราหุ จนทํ ปมุณญฺจสฺสุ พุทฺธา โลกานุกมฺปกาติ
“ดูก่อนราหู พระจันทร์เทพบุตรยอมรับพระตถาคต
อรหันต์เป็นที่พึ่งแล้ว ตถาคตขอให้ราหูจงปล่อยพระจันทร์เทพบุตรเสียเถิด
เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมมีพระกรุณาอนุเคราะห์แก่สัตว์โลกทั้งหลาย” ครั้นอสูรราหู
ได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสดังนั้นจึงปล่อยพระจันทร์เทพบุตร
แล้วรีบหนีไปหาพระยาไพจิตราสูร ราหูตกใจมากขนลุกขนพอง จึงยืนอยู่ในที่หนึ่ง
ไพจิตราสูรจึงถามราหูว่าดังนี้ ‘‘ดูก่อนราหู ท่านเป็นอะไร
ทำไมจึงวางพระจันทร์เทพบุตรและรีบหนีมา มายืนตกใจกลัวมากดังนี้”
ราหูตอบไพจิตราสูรว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้ากลัวคาถาที่พระพุทธเจ้า
ตรัสจงปล่อยพระจันทร์เพราะเหตุนั้น ถ้าข้าไม่ปล่อยพระจันทร์เทพบุตร
ศีรษะข้าพเจ้าจะแตกเป็น ๗ เสี่ยง แม้ว่าศีรษะไม่แตก ไม่ถึงแก่ความตาย มีชีวิตอยู่
แต่ก็หาความสงบมิได้
เรื่องของพระอาทิตย์ก็เป็นเช่นเดียวกับพระจันทร์
พระนารทะพุทธเจ้า
ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นกษัตริย์มีพระนามว่า พระยาสิริคุตตมหาราช ครองเมือง
มัลลนคร มีพระราชอัครมเหสี นามว่า ลัมภุราชเทวี มีพระราชโอรสและพระราชธิดา นามว่า
นิโครธกุมารและโคตมีกุมารีตามลำดับ
วันหนึ่งมี พราหมณ์ 8 ท่าน
มาทูลขอราชสมบัติและพระนคร พระองค์ก็พระราชทานด้วยจิตใจที่ปลาบปลื้มยินดี
และพาครอบครัวออกบวช ไปอาศัยอยู่ที่อาศรมในป่า ในครั้งนั้นมียักษ์ชื่อว่า ยันตะ ร่างกายสูงถึง
120 ศอก มาขอพระราชโอรสและธิดาทั้งสอง พระองค์ เพื่อเป็นอาหาร และ ยันตะยักษ์
ยังกล่าวอีกว่า ถ้าได้ถวายพระราชโอรสและพระราชธิดาแล้ว
อนาคตจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
เมื่อพระยาสิริคุตตมหาราชได้ฟังเช่นนั้นเกิดความปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก จึงตอบว่า
ไม่ใช่ไม่รักลูกทั้งสองแต่ท่านเป็นผู้ที่รักในพระโพธิญาณยิ่งกว่าสิ่งใด
จึงตัดใจสละพระกุมารีทั้ง 2 ให้ยักษ์และหลั่งน้ำเหนือมือของยักษ์
พร้อมทั้งประกาศแก่เทวดาและพระแม่ธรณีให้เป็นสักขีพยาน แห่งมหาทานนี้
ก็บังเกิดมหัศจรรย์ทั่วโลกทุกห้องจักวาล ปานแผ่นพสุธาจะทรุดจะทลาย
ฯเมื่อยักษ์ได้รับมอบพระกุมารีทั้งสองไปแล้ว ก็เคี้ยวกินต่อหน้าต่อตาพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์เห็นเลือดที่ไหลจากปากของยักษ์
ก็มิได้หวาดกลัวเลยด้วยจิตใจอันเปี่ยมด้วยยินดี
ด้วยมหาทานบารมีที่พระองค์มิได้หวาดหวั่นใจเลยนี้ทำให้พระองค์มีพุทธรัศมีเหมือนสายฟ้าในกลีบเมฆรูปร่างเหมือนดอกบัวตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
พระวรกายสูง 20 ศอก มีพระชนมายุ 1 หมื่นปี มีไม้จันทร์เป็นมหาโพธิ
ในศาสนาของพระองค์ คนในยุคนั้นจะมีรูปร่างอันสวยงามน่ายินดี
ด้วยบุญที่ท่านให้ลูกเป็นทาน และยังมีภักษาหาร 7 ประการบังเกิดขึ้น
มนุษย์ก็ได้อาศัยภักษาหารนี้เลี้ยงชีพ
อสุรินทราหู ผู้ครองอสูรพิภพ
มีความประสงค์จะไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมบ้าง แต่กลับคิดไปเองว่าพระผู้มีพระภาคเป็นมนุษย์มีพระวรกายเล็ก
ตนเป็นผู้มีร่างกายยิ่งใหญ่ หากไปเฝ้าก็จะต้องก้มลงมองด้วยความลำบาก
และอสุรินทราหูนั้นไม่เคยคิดก้มหัวให้แก่ผู้ใด
ดังนั้นจึงไม่ยอมไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อฟังธรรม
พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระอนาคตังสญาณพระบรมศาสดาทรงแสดงปาฏิหาริย์นิรมิตพระวรกายให้ใหญ่กว่าขุนเขาเสด็จไปสีหไสยาสน์
คือนอนอย่างราชสีห์ ได้แก่การนอนตะแคงข้างขวา
เป็นการนอนอย่างมีสติของผู้มีกิเลสเบาบาง พระเศียรหนุนภูเขาต่างพระเขนย
แม้พระบาททั้งสองข้างที่วางทับซ้อนกันอยู่ก็ยังสูงใหญ่กว่าอสุรินทราหูซึ่งเห็นพุทธปาฏิหาริย์ในครั้งนั้น
ปรากฏแก่สายตาเพียงผู้เดียว แทนที่จะก้มลงมองดูพระพุทธองค์
อสุรินทราหูกลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อชมพระพุทธลักษณะอันงดงามของพระมหาบุรุษตั้งแต่พระบาทจนถึงพระพักตร์
ทำให้เกิดความปิติปลาบปลื้มฯลฯ เมื่ออสุรินทราหูลดมานะและทิฐิลงแล้ว พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรด
หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาจึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
เข้าถึงไตรสรณะคมน์ถือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ไปตลอดชีวิต
แล้วจึงกราบทูลลากลับไปยังพิภพของตน (บางตำราและโหรดังว่า
อสุรินทราหูฟังธรรมจบแล้วสำเร็จพระโสดาบัน)
ปางโปรดอสุรินทราหูไม่ปรากฏอยู่ในตำราพระพทุธรูปปางต่างๆตามมติ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม พระปรมานุชิตชิโนรส (เสาวณิต วิงวอน, 2550) แต่อย่างใด
ด้วยตำราดังกล่าวได้มีการรวบรวมปางพระพุทธรูป ตามมติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ที่ทรงคิดเลือกพุทธอิริยาบถต่างๆ จากเรื่องราวใน
พุทธประวัติรวมทั้งสิ้น 40
ปางซึ่งถือเป็นต้นแบบของปางพระพุทธรูปในสมัยรัตนโกสินทร์ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพ, 2518: 181) ตลอดจนตำราปางพระพุทธรูปฉบับอื่นๆก็ไม่ปรากฏด้วย เช่นกัน
ปางโปรดอสุรินทราหูปรากฏอยู่ในหนังสือตำนานพระพุทธรูปปางต่างๆที่เขียนขึ้นในราวปีพ.ศ.2505
โดยพระธรรมโกศาจารย์ อนุจารีเถระ เป็นการเรียบเรียงจากตำราพระพุทธรูปปางต่างๆตามมติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส
โดยได้ค้นคว้าเพิ่มเติมจาก ตำนานพุทธเจดีย์สยาม ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
หนังสือเรื่องพระพุทธรูปปางต่างๆ และหนังสือปฐมสมโพธิ ฉบับภาษาบาลี (พระธรรมโกศาจารย์
อนุจารีเถระ, 2505: 15-16) การสร้างปางพระพุทธรูปไม่มีการผูกขาด
ด้วยสร้างตามความพอใจ เลื่อมใส อนาคตอาจมีการสร้างปางพระพุทธรูปแบบอื่นๆอีก
จึงไม่อาจยุติได้ว่าพระพุทธรูปควรมีกี่ปาง (พระธรรม โกศาจารย์ อนุจารีเถระ, 2505: 11)
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
เชื่อในเรื่อง...พรหมลิขิต
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ต่อมาศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ
จนมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศังกราจารย์ได้ปฏิรูปศาสนาโดยแต่งคัมภีร์ปุราณะลดความสำคัญของศาสนาพุทธ และนำหลักปฏิบัติรวมทั้งหลักธรรมของศาสนาพุทธมหายานบางส่วนมาใช้และฟื้นฟูปรับปรุงศาสนาพราหมณ์ให้เป็นศาสนาฮินดูเนื่องจากหลักธรรมส่วนใหญ่ของศาสนาพุทธได้ประยุกต์มาจากศาสนาฮินดูเมื่อครั้งยังเป็นศาสนาพราหมณ์โดยเริ่มจากนิกายเถรวาทเมื่อครั้งพุทธกาล
–จนถึงนิกายมหายาน ในประเทศอินเดียที่มีลักษณะเป็นกึ่งพหุเทวนิยม
คือนิยมนับถือเทวดา ทำให้ทางตอนเหนือนับถือพระศิวะซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขาหิมาลัย
ทางตอนใต้ชาวประมงนับถือวิษณุซึ่งเป็นเทพที่ให้ฝนและพายุ ชาวป่านับถือพระนิรุทธ
และตอนกลางนับถือพระพิฆเนตร คนอินเดียเวลานั้นเริ่มไม่นับถือศาสนาพราหมณ์เป็นจำนวนมากขึ้น
เมื่อต้องการรวมชาติ
เมื่อครั้งขับไล่ราชวงศ์โมกุลของอิสลามที่เข้ามายึดครองและสั่งเข่นฆ่าพระสงฆ์คัมภีร์และวัดในพระพุทธศาสนาจนแทบสูญสิ้นไปจากอินเดีย
จึงรวมเทพเจ้าแต่ละท้องถิ่นต่างๆมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับศาสนาพราหมณ์ แล้วเรียกศาสนาของใหม่นี้ว่า
“ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีก ชื่อในศาสนาใหม่ว่า “ฮินดู”
จนถึงปัจจุบันนี้ พระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมพราหมณ์
แม้แต่พระพุทธเจ้าและพุทธสาวกสมัยแรก ๆ
ก็เคยนับถือศาสนาพราหมณ์หรือเคยเกี่ยวข้องกับวรรณะพราหมณ์มาก่อน และในนิทานชาดก
และเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาพุทธและพระพุทธเจ้า ก็มักจะมีพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
จึงกล่าวได้ว่า ศาสนาพุทธและพราหมณ์ จึงมีอิทธิพลต่อกันและกัน
องค์คุณ 18 ประการผู้เที่ยงต่อพระโพธิญาณ
(1) จะไม่เกิดในอเวจี (2)ไม่เกิดโลกันตนรกเช่นกัน (3)แม้เมื่อเกิดในทุคติ
จะไม่เกิดเป็นนิชฌามตัณหิกเปรต (4)ขุปปิปาสาเปรต (5)ไม่เกิดเป็นกาลกัญชิกาสูร
(6)เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ย่อมมีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบและไม่ใหญ่เกินช้าง(7) เมื่อจะเกิดในมนุษย์ ก็ไม่เป็นคนบอดแต่กำเนิด (8)ไม่เป็นคนหูหนวก (9)ไม่เป็นคนใบ้ (10)ไม่เกิดเป็นสตรี (11)ไม่เป็นอุภโตพยัญชนก (คนสองเพศ) และกะเทย (12)คนผู้เที่ยงผู้เที่ยงต่อโพธิญาณจะไม่มีใจติดพันในสิ่งใด(13) พ้นจากอนันตริยกรรม(14) เป็นผู้มีโคจรสะอาดในที่ทั้งปวง(15) ไม่ซ่องเสพมิจฉาทิฏฐิ (16)เชื่อในการกระทำกรรม(กรรมกิริยา) (17)เมื่ออยู่ในสวรรค์ไม่เกิดเป็นอสัญญีสัตว์ (18)เหตุที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสไม่มี ไปเกิด เป็นสัตบุรุษน้อมใจไปในเนกขัมมะปลดเปลื้องภพน้อยใหญ่ออก ประพฤติแต่ประโยชน์แก่โลก มุ่งบำเพ็ญบารมีทุกประการเที่ยวไป.
(6)เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ย่อมมีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบและไม่ใหญ่เกินช้าง(7) เมื่อจะเกิดในมนุษย์ ก็ไม่เป็นคนบอดแต่กำเนิด (8)ไม่เป็นคนหูหนวก (9)ไม่เป็นคนใบ้ (10)ไม่เกิดเป็นสตรี (11)ไม่เป็นอุภโตพยัญชนก (คนสองเพศ) และกะเทย (12)คนผู้เที่ยงผู้เที่ยงต่อโพธิญาณจะไม่มีใจติดพันในสิ่งใด(13) พ้นจากอนันตริยกรรม(14) เป็นผู้มีโคจรสะอาดในที่ทั้งปวง(15) ไม่ซ่องเสพมิจฉาทิฏฐิ (16)เชื่อในการกระทำกรรม(กรรมกิริยา) (17)เมื่ออยู่ในสวรรค์ไม่เกิดเป็นอสัญญีสัตว์ (18)เหตุที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสไม่มี ไปเกิด เป็นสัตบุรุษน้อมใจไปในเนกขัมมะปลดเปลื้องภพน้อยใหญ่ออก ประพฤติแต่ประโยชน์แก่โลก มุ่งบำเพ็ญบารมีทุกประการเที่ยวไป.
ข้อมูลบางส่วนที่รวบรวมมาจากข้างต้นพิจารณาได้ดังนี้
ราหูหรือพระราหูที่กล่าวกันมากในเวลานี้เป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู
ที่แต่งเติมขึ้นมาและพยายามนำมาเกี่ยวกับพุทธศาสนาโดยกล่าวอ้างว่า
พระราหูตนนี้คือพระโพธิสัตว์ที่จะมาบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
โดยนำเรื่องพุทธทำนายอนาคตวงศ์พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดในอนาคต 10 พระองค์
มีชื่อพระยาอสุรินทราหู (พระนารทะ) เหตุเกิดจากพระพุทธปางปราบอสุรินทราหู
ที่ว่าพระพุทธเจ้าแปลงกายใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูและพาอสุรินทราหูไปพรหมโลกไปเห็นพรหมที่มีรูปร่างใหญ่โตกว่า
กระทั่งอสุรินทราหูลดมานะทิฐิและได้ฟังธรรมกับพุทธเจ้าเสร็จแล้วกล่าวเข้าถึง
พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้าเป็นที่พึ่ง
ในบางตำราว่าอสุรินทราหูฟังธรรมจบก็สำเร็จโสดาบัน ซี่งผู้ขียนก็เคยได้ฟังธรรมจากพระสงฆ์หลายรูป
ซึ่งในเรื่องนี้นักโหราศาสตร์ทั้งหลายเอามากล่าวอ้างว่าอสุรินทราหูสำเร็จพระโสดาบันและจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้า
มั่วใหญ่แล้ว บุคคลที่สำเร็จพระโสดาบันแล้วจะไม่เป็นพระพุทธเจ้า
เพราะพระพุทธเจ้าต้องตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โหรดังและอีกมากมายจึงบอกวิธีเสริมดวงแก้ปีชงต้องไปบูชาพระราหูอย่างนั้นอย่างนี้
สร้างเหรียญพระราหูออกมาจำหย่ายแก้ปีชงของเขา
ข้อความข้างบนตอนหนึ่งได้บอกว่าเรื่องของอสุรินทราหูไม่มีในพระไตรปิฎก
และองค์คุณต่อผู้เที่ยงโพธิญาณ 18 ประการ ไม่เกิดเป็นอสูร แม้ในเรื่องของพระพุทธเจ้า 500 ชาติก็ไม่มีที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอสูรหรือเป็นยักษ์ มั่วๆๆๆๆ กันใหญ่.. ในสมัยรัชกาลที่ 4
พระองค์ก็กลัวว่าประชาชนจะเชื่อโหราศาสตร์อย่างงมงายด้วยพระองค์มีความชำนาญในเรื่องดาราศาสตร์โหราศาสตร์และพระพุทธศาสนา
พระองค์ก็หาวิธีไม่ให้ประชาชนของพระองค์ยึดติดกับเรื่องโชคชะตาราศีมากเกินไป จึงทรงพระนิพนธ์พระพุทธรูปปางประจำวันเกิดและปางต่างๆขึ้นเพื่อให้ประชาชนของพระองค์ได้บูชา(เสริมดวงแก้กรรม
เป็นกุศโลบายที่แยบยลของพระองค์
เพื่อไม่ให้ประชาชนของพระองค์ออกนอกลู่นอกทางมากเกินไป ความจริงในศาสนาพุทธไม่มีเสริมดวงแก้กรรม แต่คนที่บูชาพระประจำวันเกิดแล้วจะดี) ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาอ้อนวอน ถ้าคนทั้งหลายมัวแต่สวดอ้อนวอนขอพรอยู่ร่ำไปจิตใจจะอ่อนแอหวังพึ่งแต่เทพ
ถ้าเทพทั้งหลายมาช่วยมนุษย์ให้ประสบความสำเร็จสมหวังตามปรารถนาได้ก็ไม่ต้องทำมาหากินหวังแต่จะให้เทพช่วย ตะเวนเที่ยวหาบูชาเทพองค์นั้นองค์นี้ตามข่าวลือ(ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อเรื่องกรรมไม่เชื่อเรื่องมงคล-คุณสมบัติของอุบาสก อุบาสิกา) สวรรค์ก็คงวุ่นวายมากเทพมาช่วยมนุษย์ที่มาสวดอ้อนวอนขอพรโดยไม่นึกถึงบุญกรรมที่มนุษย์ผู้นั้นสร้างไว้อย่างไร
เทพทั้งหลายเสพสุขด้วยบุญของท่านเอง มนุษย์จะสุข
จะทุกข์มีโชคอย่างไรก็อยู่ที่กุศลผลบุญของเขา
“ถ้าบุญเจ้าไม่มีเจ้าจะเอาที่ไหนมา
ถ้าหากบุญเจ้ามีและถึงเวลาฟ้าดินก็มิอาจกั้นได้”
พระสมเด็จด้านหลังรูปพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคบนหลังพระราหู
และมีพระสมเด็จอีกองค์ที่มีรูปพระพุทธเป็นประธานอยู่ด้านหลังรูปพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคบนหลังพระราหู
เป็นปริศนาธรรมให้รู้ว่าไม่ว่าเทพองค์ไหนก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากวัฎสงสารไปได้ ไม่ว่าจะเป็น เทพ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ครุฑ นาค ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดตามบุญกรรมของแต่ละคน
ศาสนาทุกศาสนาย่อมสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ศาสนาใด ไม่มีอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 ศาสนานั้น ย่อมไม่มีสมณะ ที่ 1
ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และสมณะ ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ก็คือ พระโสดาบัน
พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ นอกจากศาสนาพุทธแล้วก็ไม่เห็นศาสนาอื่นจะมี
บูชาบุคคลที่ควรบูชา
บาลี: ปูชา จ ปูชนียานํ (ปูชา จะ ปูชะนียานัง)
บูชา คือ สักการะ เคารพ นับถือ ยำเกรง กราบไหว้ ทำด้วยความเอื้อเฟื้อ การบูชาเป็นมงคล เพราะทำให้เราลดทิฏฐิมานะลงได้ ป้องกันความเห็นผิด และทำให้เราได้แบบอย่างที่ดีจากคนที่เราเคารพ เป็นการขจัดคนพาลให้พินาศไปโดยทางอ้อมและเป็นการเชิดชูบัณฑิตให้สูงเด่นยิ่งขึ้น และได้ชื่อว่าเป็นผู้มี "กตัญญูกตเวที" อีกด้วย
บูชา คือ สักการะ เคารพ นับถือ ยำเกรง กราบไหว้ ทำด้วยความเอื้อเฟื้อ การบูชาเป็นมงคล เพราะทำให้เราลดทิฏฐิมานะลงได้ ป้องกันความเห็นผิด และทำให้เราได้แบบอย่างที่ดีจากคนที่เราเคารพ เป็นการขจัดคนพาลให้พินาศไปโดยทางอ้อมและเป็นการเชิดชูบัณฑิตให้สูงเด่นยิ่งขึ้น และได้ชื่อว่าเป็นผู้มี "กตัญญูกตเวที" อีกด้วย
การถือมงคลในพระพุทธศาสนาคือมงคล 38 ประการ บูชาบุคคลที่ควรบูชา
พระเครื่องส่วนใหญ่จะมีรูปกำหนดเป็นพระพุทธจะมีรูปเกจิอาจารย์บ้างตามความเคารพศรัทธาของลูกศิษย์ที่สร้างขึ้น
เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติไม่ให้หลงไปในทางผิดและยังเป็นอนุสสติให้คนๆนั้นระลึกถึงองค์คุณ
10 อย่างเพื่อยกระดับจิตให้ผ่องใสแช่มชื่นไม่ไปหลงระลึกถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และเรื่องราว ต่าง ๆ อันเป็นที่ตั้งแห่งโลภะ ความอยากได้ หรือราคะ ความยินดี ก็ทำให้ใจไปยินดี ไปอยากได้ในรูป เสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหล่านั้น
อนุสสติ 10 หมายถึง กรรมฐานเป็นเครื่องระลึกถึง มี 10 อย่าง ได้แก่
1.
พุทธานุสสติ การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
(พุทธะ+อนุสสติ=พุทธานุสสติ)
2.
ธัมมานุสสติ การระลึกถึงพระคุณของพระธรรม
3.
สังฆานุสสติ การระลึกถึงพระคุณของพระสงฆ์
4.
สีลานุสสติ การระลึกถึงศีลที่ตนรักษา
5.
จาคานุสสติ การระลึกถึงทาน
ความดีที่ตนสร้างไว้
6.
เทวตานุสสติ การระลึกถึงคุณที่ทำให้คนเป็นเทวดา เช่นหิริ โอตตับปะและพระคุณของพ่อแม่ที่เป็นเทวดาของบุตรธิดา
เทวดาหรือบุคลที่เคารพนับถือ
7.
อุปสมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระนิพพาน
8.
มรณสติ การระลึกถึงความตายที่สัตว์โลกย่อมประสบ
9. อานาปานสติ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก
(อานาปาน + อนุสสติ = อานาปานุสสติ)
10. กายคตสติ การระลึกถึงความไม่งามปฏิกูลของอาการ 32มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
(ปัญจตจกรรมฐาน)
เป็น 10 กรรมฐานในกรรมฐาน 40 กองได้แก่ กสิน 10, อนุสสติ 10, อสุภกรรมฐาน10,พรหมวิหาร 4,อรูปฌาน 4 จตุธาตุววัตถาน1 อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1
วิสุทธิมรรคระบุว่า พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสติ อุปสมานุสติ มรณานุสสติ
เป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับอุปจาระสมาธิ กายคตานุสสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับปฐมฌาน(ฌาน1) และอานาปานุสสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับจตุตถฌาน(ฌาน4)
ระลึกถึงเทวดา
ท่านปฎิบัติอย่างไรถึงได้เป็นเทวดาหรือเทพ เราระลึกถึงท่านท่านก็ระลึกถึงเรา
แต่เมื่อเราไปสวดมนต์ขอพรให้ท่านช่วยถ้าเราไม่มีต้นทุนบุญเลยท่านก็ช่วยไม่ได้
ถ้าหากเรามีต้นทุนบุญอยู่ท่านก็พิจารณาว่าถึงเวลาที่เราจะได้หรือยังถ้ายังไม่ถึงเวลาท่านก็ช่วยไม่ได้
เช่นทำบุญวันนี้จะให้บุญนั้นส่งผลทันทีเลยไม่ได้(นอกจากทำบุญกับพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ที่ได้อากิญจัญญายตนะฌาณ (ฌาน
7)
เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน (ฌาณ 8)ที่เข้านิโรธสมาบัติ 7 วัน ไม่ต้องเสียเวลาไปหานะ)
พระสมเด็จปู่ใหญ่นารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู อยู่ด้านหลังองค์พระพุทธ องค์พระ กXย = 3.5 ซม.X 6 ซม. |
พระสมเด็จปู่ใหญ่นารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู อยู่ด้านหลังองค์พระพุทธ องค์พระ กXย = 3.5 ซม.X 6 ซม. ด้านหลังเม็ดทองคำ |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น