พระสมเด็จปู่ใหญ่หลังนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู แก้ปีชง


พระสมเด็จปู่ใหญ่หลังนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู PG-01
       พระสมเด็จปู่ใหญ่หลังนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู สุดยอดพระสมเด็จแห่งแผ่นดินอีกพิพม์หนึ่ง ที่สร้างโดยหลวงปู่โต หลวงปู่เทพโลกอุดรหรือหลวงปู่ใหญ่และคณะร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก
       การแก้ปีชงที่ดีที่สุดทำได้ทุกราศีคือ ทำดี พูดดี คิดดี โดยละเว้นจากอกุศลกรรมทั้ง 10 ข้อ
       กุศลกรรม 10 อย่าง ที่ตรงข้ามกับอกุศลกรรม
          กายกรรม 3
1.เว้นจากการฆ่า ทรมาน กักขัง สัตว์
2.เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ โดยการขโมย
3.เว้นจากการประพฤติผิดในกาม (มี 20 ข้อ โดยพิศดาร)
         วจีกรรม 4
1.เว้นจากการพูดเท็จ
2.เว้นจากการพูดส่อเสียด
3.เว้นจากการพูดคำหยาบ
4.เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ (ทำได้ยากยิ่ง แม้พระโสดาบันยังทำอยู่ แต่ไม่เป็นไปในทางศาสนา เช่น พูดว่าถ้าฉันถูกรางวัลที่ 1 ฉันจะทำนั่นทำนี่ ถ้าฉันเป็นายกรัฐมนตรีฉันจะทำอย่างนี้...)
        มโนกรรม 3
1.ไม่โลภอยากได้ของผู่อื่น
2.ไม่คิดอาฆาตพยาบาทผู้อื่น
3.เห็นชอบตามครองธรรม (สัมมาทิฐิ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ฯลฯ)
        กรรมเกิดจากเหตุ ปัจจุบันที่ท่านรับกรรมอยู่นั้นเกิดจากการกระทำทั้งในอดีตและปัจจุบัน กรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนมันจะส่งผลเมื่อไหร่อยู่ที่ความหนักเบาของกรรม กรรมบางอย่างส่งผลทันทีกรรมบางอย่างส่งผลข้ามภพข้ามชาติ ไม่ต้องส่งสัยในเรื่องของกรรมไม่ต้องไปอยากรู้ว่าชาติที่แล้วเราทำกรรมอะไรไว้บ้างมันไม่มีประโยชน์คิดมากไปจะเป็นบ้า ให้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเป็นดี ทำอย่างนี้ได้ก็สบายใจ ไม่มีใครใหญ่เกินกรรมหรือไปแก้กรรมในอดีตได้ สร้างสมบุญบารมีเพื่อให้กรรมบางอย่างตามไม่ทัน กรรมบางอย่างเป็นอโหสิกรรม ท่านจะไปขอโชคขอลาภจากเทพองค์ไหนท่านก็ต้องมีบุญอยู่แล้ว ถ้าท่านไม่เคยทำบุญอะไรมาท่านก็จะไม่ได้
        โอวาทหลวงปู่โต
     "ลูกเอ๋ย... ก่อนที่จะเที่ยวไปขอบารมีจากหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตนเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีของคนอื่นมาช่วย  มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมเขามาจนล้นตัว เมื่อทำบุญกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะไม่มีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้แล้วฟ้าดินจะช่วยเจ้าเอง
     จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้
ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน


เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

     ท่านจงสร้างบุญและบารมีไว้ให้มากๆ เมื่อถึงเวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยท่านเอง เทพทั้งหลายที่จะช่วยท่านได้นั้นท่านก็ต้องมีบุญที่เคยทำไว้มากพอที่เทพจะช่วยท่านได้
     ท่านมีเงินฝากไว้ที่ธนาคารแห่งหนึ่งเป็นเงิน 10,000 บาทแต่ท่านจะไปถอนเงิน 1,000,000 บาท ไม่มีธนาคารที่ไหนจะให้ท่านได้ ถ้าท่านไม่มีเงินฝากไว้ที่ธนาคารใดเลยท่านก็ไม่สามารถไปถอนเงินมาได้แม้แต่บาทเดียว เช่นเดียวกับทีท่านไม่ทำบุญจะมีบุญที่ไหนช่วยท่านได้
     และเมื่อท่านรักษาศีลให้มั่นคงเทวดาก็จะรักษาท่านอีก เทวดาจะคุ้มครองผู้รักษาศีลเพราะศีลมีกลิ่นหอมทวนลม โดยปกติมนุษย์จะมีกลิ่นเหม็นจากการทุศีลเทวดาจะไม่เข้าใกล้ แต่คนที่รักษาศีลจะมีกลิ่นหอมกว่ากลิ่นหอมใดๆเทวดารับรู้
     เมื่อถึงเวลาเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยท่านเอง นารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหูเป็นเทพที่ศักดิ์สิทธิ์ที่นำมาไว้ด้านหลังองค์พระ ด้านพลังพุทธานุภาพและพลังเทพสูงมากหาพระแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
     มวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญเมื่อล้างองค์พระแล้วเนื้อพระเป็นสีเทาดำเกิดจากรังเหล็กไหล เพชรดำ เหล็กไหลและมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมาย รังเหล็กไหลเมื่อผู้ทรงอภิญญาสมบัตินำมาอธิษฐานจิตปลุกจะเพิ่มพลังอีกมากมาย พระสมเด็จปู่ใหญ่องค์นี้มีครบถ้วนทุกอย่าง นารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหูนี้มีหลายเกจิอาจารย์สร้างไว้แต่ไม่มีของท่านใดเกินองค์นี้ไปได้ เพราะพระผู้สร้างเป็นพระอรหันต์ที่ทรงอภิญญาสมาบัติมีอิทธิฤทธิ์อันมหัศจรรย์เป็นพระอรหันต์ที่เหนือโลกมีอายุพันกว่าปีและจะยังมีอายุอยู่ต่อไปจนครบศาสนาของพุทธโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ผู้ใดได้พบเห็นและบูชาถือเป็นวาสนาบารมีอย่างยิ่ง
      การจับพลังหรือการอธิษฐานจิตสัมผัสกับกระแสญาณขององค์พระได้นั้นจะรู้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้มีจริง

พระสมเด็จปู่ใหญ่หลังนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู ล้างให้เห็นเนื้อในสีเทาดำรังเหล็กไหลและมวลสารศักดิ์สิทธิ์หลายอย่าง


พระสมเด็จปู่ใหญ่หลังนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู PG-02

พระสมเด็จปู่ใหญ่หลังนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู PG-03
สนใจบูชา ติดต่อ โทร 092 339 5410


     พระราหู อสุรินทราหู พระยาอสุรินทราหู (พระนารทะ)
     กาลกัญชกาอสุรกาย มี 2 ประเภท 
ประเภทที่ 1 ไม่มีความสุขเลย ลำบาก ยากแค้นมากกว่าอสูรพวกอื่น
ประเภทที่ 2 มีรูปร่างต่างกัน มีเมืองที่มีพระยาอสูรปกครองอยู่ มีช้าง ม้า ข้าทาสบริวาร กว้างหมื่นโยชน์มีประด้วยแผ่นทองคำงามเรืองรอง มีเมืองอสูรอยู่ 4 เมืองแต่ละเมืองมีพระยาอสูรปกครองเมืองละ 2 ตน มีปราสาทราชมนเทียรประกอบด้วยทองและแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงทองประดับแก้วมีค่า มีปราการประตูเมือง ๑,๐๐๐ ประตู ประกอบและประดับแก้วมีค่า มีคูล้อมรอบ ลึกเท่าความสูงของ ต้นตาล กลางเมืองมีสระทอง มีดอกบัวเบญจพรรณงามเรืองดั่งทองประดับแก้ว ๗ ประการ พระยาอสูรลงเล่นในสระดังเปรียบเหมือนนันทนโบกขรณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นอกจากนั้นมีเมืองเล็กๆ และหมู่บ้านใหญ่น้อยล้อมรอบ มีมหาสมุทรกลางเมืองทำให้เมืองชุ่มชื้น กลางอสูรพิภพมีต้นไม้ต้นหนึ่งมีมาตั้งแต่แรกเกิดโลกขึ้น ต้นไม้นั้นใหญ่เท่าต้นปาริชาตในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อสูรเหล่านั้นมีความเป็นอยู่ดีมาก มีปราสาทราชมนเทียรประดับด้วยเงินทองและแก้ว ๗ ประการ รุ่งเรืองงามยิ่งนัก แต่ ยังน้อยกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นิดหนึ่ง
     เมืองทางทิศเหนือ มีพระยาอสูร ๒ ตน คือ พรหมทัตและราหู เป็นพระยาของอสูรทั้งหลายใน อุตตรกุรุทวีป (อีก 3 ทิศที่เหลือไปหาอ่านเองได้ครับ) พระยาอสูรราหูนั้นมีอำนาจและกำลังมาก กล้าหาญกว่าพระยาอสูร ทั้งหลาย กายใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ สูง ๔,๘๐๐ โยชน์ วันเดือนเพ็ญพระจันทร์งาม และวันเดือนดับพระอาทิตย์งาม ราหู เห็นพระอาทิตย์และพระจันทร์งามเช่นนั้นก็มีใจริษยา จึงขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดเขายุคันธร คอยพระอาทิตย์ซึ่งอยู่ในปราสาทในเกวียนทองซึ่งเป็นพาหนะประดับ ด้วยแก้วอินทนิลมีรัศมีพันหนึ่งงามมาก มีม้าสินธพพันหนึ่งลากเกวียนทองนั้นลอยไปในอากาศ เลียบรอบเขาพระสุเมรุไปในระดับเสมอยอดเขายุคันธร พระจันทร์อยู่ในปราสาทในเกวียนแก้วมณี มีม้าสินธพ ๕๐๐ ตัว ลากไปในอากาศในระดับตํ่ากว่าแนวพระอาทิตย์โยชน์หนึ่ง เลียบรอบเขาพระสุเมรุ ดาษดาไปด้วยดาวทั้งหลาย ครั้นลอยไปถึงที่ราหูคอยอยู่ บางครั้งราหูจะอ้าปากอมพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ บางครั้งจะเอานิ้วมือบังไว้ บางครั้งเอาไว้ใต้คาง บางครั้งเอาไว้ใต้รักแร้ เมื่อราหูกระทำอย่างนั้น รัศมีพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดี จะหมองไม่งดงาม และคนทั้งหลายจะกล่าวว่าเกิดสุริยคราสและจันทรคราส จะกล่าวถึงพระพุทธศากยมุนีโคดมของเราทั้งหลาย เมื่อพระองค์ยัง ทรงพระชนม์อยู่ในโลกนี้ ยังไม่เสด็จเข้าสู่นิพพาน ครั้งหนึ่ง พระองค์ประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหารอันเป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีในเมืองสาวัตถี ครั้นถึงวันเพ็ญวันหนึ่งเกิดจันทรคราส พระจันทร์เทพบุตรก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้าจึงนมัสการพระพุทธเจ้า และกล่าวว่า “ข้าพระพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยความเพียร ข้าขอถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาคพระองค์พ้นจากกิเลสทั้งปวง บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้รับอันตรายเดือดร้อนทรมานนักหนา ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแก่ข้าๆ และโปรดช่วยปลงทุกข์ให้แก่ข้าฯ ด้วยเกิด ในกาลนั้น พระสัพพัญญูเจ้าผู้รู้แจ้งสรรพสิ่งในโลกทรงทราบเรื่องดังนั้น ก็มีใจกรุณาแก่พระจันทร์เทพบุตร จึงตรัสแก่อสูรราหูด้วยพระคาถาดังนี้
ตถาคตํ อรหนฺตํ            จนฺทิมา สรณํ คโต
ราหุ จนทํ ปมุณญฺจสฺสุ     พุทฺธา โลกานุกมฺปกาติ
“ดูก่อนราหู พระจันทร์เทพบุตรยอมรับพระตถาคต อรหันต์เป็นที่พึ่งแล้ว ตถาคตขอให้ราหูจงปล่อยพระจันทร์เทพบุตรเสียเถิด เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมมีพระกรุณาอนุเคราะห์แก่สัตว์โลกทั้งหลาย” ครั้นอสูรราหู ได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสดังนั้นจึงปล่อยพระจันทร์เทพบุตร แล้วรีบหนีไปหาพระยาไพจิตราสูร ราหูตกใจมากขนลุกขนพอง จึงยืนอยู่ในที่หนึ่ง ไพจิตราสูรจึงถามราหูว่าดังนี้ ‘‘ดูก่อนราหู ท่านเป็นอะไร ทำไมจึงวางพระจันทร์เทพบุตรและรีบหนีมา มายืนตกใจกลัวมากดังนี้”
ราหูตอบไพจิตราสูรว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้ากลัวคาถาที่พระพุทธเจ้า ตรัสจงปล่อยพระจันทร์เพราะเหตุนั้น ถ้าข้าไม่ปล่อยพระจันทร์เทพบุตร ศีรษะข้าพเจ้าจะแตกเป็น ๗ เสี่ยง แม้ว่าศีรษะไม่แตก ไม่ถึงแก่ความตาย มีชีวิตอยู่ แต่ก็หาความสงบมิได้
เรื่องของพระอาทิตย์ก็เป็นเช่นเดียวกับพระจันทร์

      พระนารทะพุทธเจ้า
    ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นกษัตริย์มีพระนามว่า พระยาสิริคุตตมหาราช ครองเมือง มัลลนคร มีพระราชอัครมเหสี นามว่า ลัมภุราชเทวี มีพระราชโอรสและพระราชธิดา นามว่า นิโครธกุมารและโคตมีกุมารีตามลำดับ
วันหนึ่งมี พราหมณ์ 8 ท่าน มาทูลขอราชสมบัติและพระนคร พระองค์ก็พระราชทานด้วยจิตใจที่ปลาบปลื้มยินดี และพาครอบครัวออกบวช ไปอาศัยอยู่ที่อาศรมในป่า ในครั้งนั้นมียักษ์ชื่อว่า ยันตะ ร่างกายสูงถึง 120 ศอก มาขอพระราชโอรสและธิดาทั้งสอง พระองค์ เพื่อเป็นอาหาร และ ยันตะยักษ์ ยังกล่าวอีกว่า ถ้าได้ถวายพระราชโอรสและพระราชธิดาแล้ว อนาคตจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อพระยาสิริคุตตมหาราชได้ฟังเช่นนั้นเกิดความปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก จึงตอบว่า ไม่ใช่ไม่รักลูกทั้งสองแต่ท่านเป็นผู้ที่รักในพระโพธิญาณยิ่งกว่าสิ่งใด จึงตัดใจสละพระกุมารีทั้ง 2 ให้ยักษ์และหลั่งน้ำเหนือมือของยักษ์ พร้อมทั้งประกาศแก่เทวดาและพระแม่ธรณีให้เป็นสักขีพยาน แห่งมหาทานนี้ ก็บังเกิดมหัศจรรย์ทั่วโลกทุกห้องจักวาล ปานแผ่นพสุธาจะทรุดจะทลาย ฯเมื่อยักษ์ได้รับมอบพระกุมารีทั้งสองไปแล้ว ก็เคี้ยวกินต่อหน้าต่อตาพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เห็นเลือดที่ไหลจากปากของยักษ์ ก็มิได้หวาดกลัวเลยด้วยจิตใจอันเปี่ยมด้วยยินดี
ด้วยมหาทานบารมีที่พระองค์มิได้หวาดหวั่นใจเลยนี้ทำให้พระองค์มีพุทธรัศมีเหมือนสายฟ้าในกลีบเมฆรูปร่างเหมือนดอกบัวตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน พระวรกายสูง 20 ศอก มีพระชนมายุ 1 หมื่นปี มีไม้จันทร์เป็นมหาโพธิ ในศาสนาของพระองค์ คนในยุคนั้นจะมีรูปร่างอันสวยงามน่ายินดี ด้วยบุญที่ท่านให้ลูกเป็นทาน และยังมีภักษาหาร 7 ประการบังเกิดขึ้น มนุษย์ก็ได้อาศัยภักษาหารนี้เลี้ยงชีพ
อสุรินทราหู ผู้ครองอสูรพิภพ มีความประสงค์จะไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมบ้าง แต่กลับคิดไปเองว่าพระผู้มีพระภาคเป็นมนุษย์มีพระวรกายเล็ก ตนเป็นผู้มีร่างกายยิ่งใหญ่ หากไปเฝ้าก็จะต้องก้มลงมองด้วยความลำบาก และอสุรินทราหูนั้นไม่เคยคิดก้มหัวให้แก่ผู้ใด ดังนั้นจึงไม่ยอมไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อฟังธรรม พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระอนาคตังสญาณพระบรมศาสดาทรงแสดงปาฏิหาริย์นิรมิตพระวรกายให้ใหญ่กว่าขุนเขาเสด็จไปสีหไสยาสน์ คือนอนอย่างราชสีห์ ได้แก่การนอนตะแคงข้างขวา เป็นการนอนอย่างมีสติของผู้มีกิเลสเบาบาง พระเศียรหนุนภูเขาต่างพระเขนย แม้พระบาททั้งสองข้างที่วางทับซ้อนกันอยู่ก็ยังสูงใหญ่กว่าอสุรินทราหูซึ่งเห็นพุทธปาฏิหาริย์ในครั้งนั้น ปรากฏแก่สายตาเพียงผู้เดียว แทนที่จะก้มลงมองดูพระพุทธองค์ อสุรินทราหูกลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อชมพระพุทธลักษณะอันงดงามของพระมหาบุรุษตั้งแต่พระบาทจนถึงพระพักตร์ ทำให้เกิดความปิติปลาบปลื้มฯลฯ เมื่ออสุรินทราหูลดมานะและทิฐิลงแล้ว พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรด หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาจึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เข้าถึงไตรสรณะคมน์ถือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ไปตลอดชีวิต แล้วจึงกราบทูลลากลับไปยังพิภพของตน (บางตำราและโหรดังว่า อสุรินทราหูฟังธรรมจบแล้วสำเร็จพระโสดาบัน)
ปางโปรดอสุรินทราหูไม่ปรากฏอยู่ในตำราพระพทุธรูปปางต่างๆตามมติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม พระปรมานุชิตชิโนรส (เสาวณิต วิงวอน, 2550) แต่อย่างใด ด้วยตำราดังกล่าวได้มีการรวบรวมปางพระพุทธรูป ตามมติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ที่ทรงคิดเลือกพุทธอิริยาบถต่างๆ จากเรื่องราวใน พุทธประวัติรวมทั้งสิ้น 40 ปางซึ่งถือเป็นต้นแบบของปางพระพุทธรูปในสมัยรัตนโกสินทร์ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพ, 2518: 181) ตลอดจนตำราปางพระพุทธรูปฉบับอื่นๆก็ไม่ปรากฏด้วย เช่นกัน  
ปางโปรดอสุรินทราหูปรากฏอยู่ในหนังสือตำนานพระพุทธรูปปางต่างๆที่เขียนขึ้นในราวปีพ.ศ.2505 โดยพระธรรมโกศาจารย์ อนุจารีเถระ เป็นการเรียบเรียงจากตำราพระพุทธรูปปางต่างๆตามมติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส โดยได้ค้นคว้าเพิ่มเติมจาก ตำนานพุทธเจดีย์สยาม ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ หนังสือเรื่องพระพุทธรูปปางต่างๆ และหนังสือปฐมสมโพธิ ฉบับภาษาบาลี (พระธรรมโกศาจารย์ อนุจารีเถระ, 2505: 15-16) การสร้างปางพระพุทธรูปไม่มีการผูกขาด ด้วยสร้างตามความพอใจ เลื่อมใส อนาคตอาจมีการสร้างปางพระพุทธรูปแบบอื่นๆอีก จึงไม่อาจยุติได้ว่าพระพุทธรูปควรมีกี่ปาง (พระธรรม โกศาจารย์ อนุจารีเถระ, 2505: 11)  
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อในเรื่อง...พรหมลิขิต
     ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก  ต่อมาศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ จนมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศังกราจารย์ได้ปฏิรูปศาสนาโดยแต่งคัมภีร์ปุราณะลดความสำคัญของศาสนาพุทธ และนำหลักปฏิบัติรวมทั้งหลักธรรมของศาสนาพุทธมหายานบางส่วนมาใช้และฟื้นฟูปรับปรุงศาสนาพราหมณ์ให้เป็นศาสนาฮินดูเนื่องจากหลักธรรมส่วนใหญ่ของศาสนาพุทธได้ประยุกต์มาจากศาสนาฮินดูเมื่อครั้งยังเป็นศาสนาพราหมณ์โดยเริ่มจากนิกายเถรวาทเมื่อครั้งพุทธกาล –จนถึงนิกายมหายาน ในประเทศอินเดียที่มีลักษณะเป็นกึ่งพหุเทวนิยม คือนิยมนับถือเทวดา ทำให้ทางตอนเหนือนับถือพระศิวะซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขาหิมาลัย ทางตอนใต้ชาวประมงนับถือวิษณุซึ่งเป็นเทพที่ให้ฝนและพายุ ชาวป่านับถือพระนิรุทธ และตอนกลางนับถือพระพิฆเนตร คนอินเดียเวลานั้นเริ่มไม่นับถือศาสนาพราหมณ์เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อต้องการรวมชาติ เมื่อครั้งขับไล่ราชวงศ์โมกุลของอิสลามที่เข้ามายึดครองและสั่งเข่นฆ่าพระสงฆ์คัมภีร์และวัดในพระพุทธศาสนาจนแทบสูญสิ้นไปจากอินเดีย จึงรวมเทพเจ้าแต่ละท้องถิ่นต่างๆมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับศาสนาพราหมณ์ แล้วเรียกศาสนาของใหม่นี้ว่า “ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีก ชื่อในศาสนาใหม่ว่า “ฮินดู” จนถึงปัจจุบันนี้ พระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมพราหมณ์ แม้แต่พระพุทธเจ้าและพุทธสาวกสมัยแรก ๆ ก็เคยนับถือศาสนาพราหมณ์หรือเคยเกี่ยวข้องกับวรรณะพราหมณ์มาก่อน และในนิทานชาดก และเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาพุทธและพระพุทธเจ้า ก็มักจะมีพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงกล่าวได้ว่า ศาสนาพุทธและพราหมณ์ จึงมีอิทธิพลต่อกันและกัน
     องค์คุณ 18 ประการผู้เที่ยงต่อพระโพธิญาณ 
       (1) จะไม่เกิดในอเวจี (2)ไม่เกิดโลกันตนรกเช่นกัน (3)แม้เมื่อเกิดในทุคติ จะไม่เกิดเป็นนิชฌามตัณหิกเปรต (4)ขุปปิปาสาเปรต (5)ไม่เกิดเป็นกาลกัญชิกาสูร
(6)เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ย่อมมีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบและไม่ใหญ่เกินช้าง(7) เมื่อจะเกิดในมนุษย์ ก็ไม่เป็นคนบอดแต่กำเนิด (8)ไม่เป็นคนหูหนวก (9)ไม่เป็นคนใบ้ (10)ไม่เกิดเป็นสตรี (11)ไม่เป็นอุภโตพยัญชนก (คนสองเพศ) และกะเทย (12)คนผู้เที่ยงผู้เที่ยงต่อโพธิญาณจะไม่มีใจติดพันในสิ่งใด(13) พ้นจากอนันตริยกรรม(14) เป็นผู้มีโคจรสะอาดในที่ทั้งปวง(15) ไม่ซ่องเสพมิจฉาทิฏฐิ (16)เชื่อในการกระทำกรรม(กรรมกิริยา) (17)เมื่ออยู่ในสวรรค์ไม่เกิดเป็นอสัญญีสัตว์ (18)เหตุที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสไม่มี  ไปเกิด เป็นสัตบุรุษน้อมใจไปในเนกขัมมะปลดเปลื้องภพน้อยใหญ่ออก ประพฤติแต่ประโยชน์แก่โลก มุ่งบำเพ็ญบารมีทุกประการเที่ยวไป.

      ข้อมูลบางส่วนที่รวบรวมมาจากข้างต้นพิจารณาได้ดังนี้
  ราหูหรือพระราหูที่กล่าวกันมากในเวลานี้เป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ที่แต่งเติมขึ้นมาและพยายามนำมาเกี่ยวกับพุทธศาสนาโดยกล่าวอ้างว่า พระราหูตนนี้คือพระโพธิสัตว์ที่จะมาบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต โดยนำเรื่องพุทธทำนายอนาคตวงศ์พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดในอนาคต 10 พระองค์ มีชื่อพระยาอสุรินทราหู (พระนารทะ) เหตุเกิดจากพระพุทธปางปราบอสุรินทราหู ที่ว่าพระพุทธเจ้าแปลงกายใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูและพาอสุรินทราหูไปพรหมโลกไปเห็นพรหมที่มีรูปร่างใหญ่โตกว่า กระทั่งอสุรินทราหูลดมานะทิฐิและได้ฟังธรรมกับพุทธเจ้าเสร็จแล้วกล่าวเข้าถึง พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้าเป็นที่พึ่ง ในบางตำราว่าอสุรินทราหูฟังธรรมจบก็สำเร็จโสดาบัน ซี่งผู้ขียนก็เคยได้ฟังธรรมจากพระสงฆ์หลายรูป ซึ่งในเรื่องนี้นักโหราศาสตร์ทั้งหลายเอามากล่าวอ้างว่าอสุรินทราหูสำเร็จพระโสดาบันและจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้า มั่วใหญ่แล้ว บุคคลที่สำเร็จพระโสดาบันแล้วจะไม่เป็นพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าต้องตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โหรดังและอีกมากมายจึงบอกวิธีเสริมดวงแก้ปีชงต้องไปบูชาพระราหูอย่างนั้นอย่างนี้ สร้างเหรียญพระราหูออกมาจำหย่ายแก้ปีชงของเขา ข้อความข้างบนตอนหนึ่งได้บอกว่าเรื่องของอสุรินทราหูไม่มีในพระไตรปิฎก และองค์คุณต่อผู้เที่ยงโพธิญาณ 18 ประการ ไม่เกิดเป็นอสูร  แม้ในเรื่องของพระพุทธเจ้า 500 ชาติก็ไม่มีที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอสูรหรือเป็นยักษ์  มั่วๆๆๆๆ กันใหญ่..  ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์ก็กลัวว่าประชาชนจะเชื่อโหราศาสตร์อย่างงมงายด้วยพระองค์มีความชำนาญในเรื่องดาราศาสตร์โหราศาสตร์และพระพุทธศาสนา พระองค์ก็หาวิธีไม่ให้ประชาชนของพระองค์ยึดติดกับเรื่องโชคชะตาราศีมากเกินไป จึงทรงพระนิพนธ์พระพุทธรูปปางประจำวันเกิดและปางต่างๆขึ้นเพื่อให้ประชาชนของพระองค์ได้บูชา(เสริมดวงแก้กรรม เป็นกุศโลบายที่แยบยลของพระองค์ เพื่อไม่ให้ประชาชนของพระองค์ออกนอกลู่นอกทางมากเกินไป ความจริงในศาสนาพุทธไม่มีเสริมดวงแก้กรรม แต่คนที่บูชาพระประจำวันเกิดแล้วจะดี) ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาอ้อนวอน  ถ้าคนทั้งหลายมัวแต่สวดอ้อนวอนขอพรอยู่ร่ำไปจิตใจจะอ่อนแอหวังพึ่งแต่เทพ  ถ้าเทพทั้งหลายมาช่วยมนุษย์ให้ประสบความสำเร็จสมหวังตามปรารถนาได้ก็ไม่ต้องทำมาหากินหวังแต่จะให้เทพช่วย ตะเวนเที่ยวหาบูชาเทพองค์นั้นองค์นี้ตามข่าวลือ(ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อเรื่องกรรมไม่เชื่อเรื่องมงคล-คุณสมบัติของอุบาสก อุบาสิกา) สวรรค์ก็คงวุ่นวายมากเทพมาช่วยมนุษย์ที่มาสวดอ้อนวอนขอพรโดยไม่นึกถึงบุญกรรมที่มนุษย์ผู้นั้นสร้างไว้อย่างไร เทพทั้งหลายเสพสุขด้วยบุญของท่านเอง มนุษย์จะสุข จะทุกข์มีโชคอย่างไรก็อยู่ที่กุศลผลบุญของเขา  “ถ้าบุญเจ้าไม่มีเจ้าจะเอาที่ไหนมา ถ้าหากบุญเจ้ามีและถึงเวลาฟ้าดินก็มิอาจกั้นได้”
      พระสมเด็จด้านหลังรูปพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคบนหลังพระราหู และมีพระสมเด็จอีกองค์ที่มีรูปพระพุทธเป็นประธานอยู่ด้านหลังรูปพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาคบนหลังพระราหู เป็นปริศนาธรรมให้รู้ว่าไม่ว่าเทพองค์ไหนก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากวัฎสงสารไปได้ ไม่ว่าจะเป็น เทพ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ครุฑ นาค ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดตามบุญกรรมของแต่ละคน ศาสนาทุกศาสนาย่อมสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ศาสนาใด ไม่มีอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 ศาสนานั้น ย่อมไม่มีสมณะ ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4  และสมณะ ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ก็คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ นอกจากศาสนาพุทธแล้วก็ไม่เห็นศาสนาอื่นจะมี

    บูชาบุคคลที่ควรบูชา

บาลี: ปูชา จ ปูชนียานํ (ปูชา จะ ปูชะนียานัง)
บูชา คือ สักการะ เคารพ นับถือ ยำเกรง กราบไหว้ ทำด้วยความเอื้อเฟื้อ การบูชาเป็นมงคล เพราะทำให้เราลดทิฏฐิมานะลงได้ ป้องกันความเห็นผิด และทำให้เราได้แบบอย่างที่ดีจากคนที่เราเคารพ เป็นการขจัดคนพาลให้พินาศไปโดยทางอ้อมและเป็นการเชิดชูบัณฑิตให้สูงเด่นยิ่งขึ้น และได้ชื่อว่าเป็นผู้มี "กตัญญูกตเวที" อีกด้วย
การถือมงคลในพระพุทธศาสนาคือมงคล 38 ประการ บูชาบุคคลที่ควรบูชา

      พระเครื่องส่วนใหญ่จะมีรูปกำหนดเป็นพระพุทธจะมีรูปเกจิอาจารย์บ้างตามความเคารพศรัทธาของลูกศิษย์ที่สร้างขึ้น เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติไม่ให้หลงไปในทางผิดและยังเป็นอนุสสติให้คนๆนั้นระลึกถึงองค์คุณ 10 อย่างเพื่อยกระดับจิตให้ผ่องใสแช่มชื่นไม่ไปหลงระลึกถึง  รูป  เสียง กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  และเรื่องราว ต่าง ๆ  อันเป็นที่ตั้งแห่งโลภะ  ความอยากได้  หรือราคะ  ความยินดี  ก็ทำให้ใจไปยินดี ไปอยากได้ในรูป  เสียงกลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  เหล่านั้น

อนุสสติ 10 หมายถึง กรรมฐานเป็นเครื่องระลึกถึง มี 10 อย่าง ได้แก่




1.    พุทธานุสสติ การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า (พุทธะ+อนุสสติ=พุทธานุสสติ)
2.    ธัมมานุสสติ การระลึกถึงพระคุณของพระธรรม
3.    สังฆานุสสติ การระลึกถึงพระคุณของพระสงฆ์
4.    สีลานุสสติ การระลึกถึงศีลที่ตนรักษา
5.    จาคานุสสติ การระลึกถึงทาน ความดีที่ตนสร้างไว้
6.    เทวตานุสสติ การระลึกถึงคุณที่ทำให้คนเป็นเทวดา เช่นหิริ โอตตับปะและพระคุณของพ่อแม่ที่เป็นเทวดาของบุตรธิดา เทวดาหรือบุคลที่เคารพนับถือ
7.    อุปสมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระนิพพาน
8.    มรณสติ การระลึกถึงความตายที่สัตว์โลกย่อมประสบ
9.  อานาปานสติ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก (อานาปาน + อนุสสติ = อานาปานุสสติ)
10. กายคตสติ การระลึกถึงความไม่งามปฏิกูลของอาการ 32มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง (ปัญจตจกรรมฐาน)
เป็น 10 กรรมฐานในกรรมฐาน 40 กองได้แก่ กสิน 10, อนุสสติ 10, อสุภกรรมฐาน10,พรหมวิหาร 4,อรูปฌาน 4 จตุธาตุววัตถาน1 อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1
วิสุทธิมรรคระบุว่า พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสติ อุปสมานุสติ มรณานุสสติ เป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับอุปจาระสมาธิ กายคตานุสสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับปฐมฌาน(ฌาน1) และอานาปานุสสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับจตุตถฌาน(ฌาน4)
ระลึกถึงเทวดา ท่านปฎิบัติอย่างไรถึงได้เป็นเทวดาหรือเทพ เราระลึกถึงท่านท่านก็ระลึกถึงเรา แต่เมื่อเราไปสวดมนต์ขอพรให้ท่านช่วยถ้าเราไม่มีต้นทุนบุญเลยท่านก็ช่วยไม่ได้ ถ้าหากเรามีต้นทุนบุญอยู่ท่านก็พิจารณาว่าถึงเวลาที่เราจะได้หรือยังถ้ายังไม่ถึงเวลาท่านก็ช่วยไม่ได้ เช่นทำบุญวันนี้จะให้บุญนั้นส่งผลทันทีเลยไม่ได้(นอกจากทำบุญกับพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ที่ได้อากิญจัญญายตนะฌาณ (ฌาน 7) เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน (ฌาณ 8)ที่เข้านิโรธสมาบัติ 7 วัน ไม่ต้องเสียเวลาไปหานะ)
พึงพิจารณาตามหลักธรรมของพุทธศาสนา 


พระสมเด็จปู่ใหญ่นารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู อยู่ด้านหลังองค์พระพุทธ องค์พระ กXย = 3.5 ซม.X 6 ซม.

พระสมเด็จปู่ใหญ่นารายณ์ทรงครุฑยุดนาคประทับยืนหลังราหู อยู่ด้านหลังองค์พระพุทธ องค์พระ กXย = 3.5 ซม.X 6 ซม. ด้านหลังเม็ดทองคำ

ความคิดเห็น